THAI SEISMIC

แผ่นดินไหว เป็นภัยธรรมชาติที่ยากต่อการรับมือเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งการเกิดแผ่นดินไหว คือ รูปแบบของการเคลื่อนที่ที่แตกต่างกันของแผ่นเปลือกโลกหรือการเขย่าของพื้นผิวโลกส่งผลเพื่อให้เกิดสมดุลของโลก แต่กลับสร้างความเสียหายให้มนุษย์และสัตว์แทน เนื่องจากเกิดในช่วงเวลา ตอนนั้นพอดี จนส่งผลต่อความเสียหายและความปลอดภัยของสิ่งมีชีวิต ทั้งนี้แผ่นดินไหวทำให้ทวีปและภูมิประเทศมีการเคลื่อนย้ายไปไม่คงอยู่ที่เดิม บางครั้งแผ่นดินก็ชนกัน หรือบางครั้งแผ่นดินก็แยกออกจากกัน และในการชนกันแต่ละครั้งนั้นมันจะทำให้เกิดรอยแตกซึ่งถือว่าเป็นธรรมชาติของโลกใบนี้ อีกทั้งแผ่นดินไหวยังมีหลายองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นฝน ดิน อากาศ รอยเลื่อนใต้ทะเล หากเกิดการเคลื่อนที่บนพื้นผิวใต้ทะเล จะทำให้เกิดสึนามิได้ (คลื่นน้ำลูกใหญ่ซัดเข้าหาชายฝั่ง) ดังเช่นในอดีตที่ผ่านมาของประเทศไทยเมื่อปี 2547 แต่หากเป็นรอยเลื่อนบนแผ่นดิน จะทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือน จนกลายเป็นแผ่นดินไหว โดยการคำนวณของนักธรณีวิทยากล่าวว่า ในหนึ่งวันนั้นมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในโลกนี้ประมาณ 1000 ครั้งเลยทีเดียว แต่ที่เราไม่รู้สึกเพราะมันเป็นแผ่นดินไหวแบบบางเบาเพียงไม่กี่ริคเตอร์นั่นเอง

ความรู้เกี่ยวกับแผ่นดินไหว

หลายคนอาจจะสงสัยว่าประเทศไทยเกิดแผ่นดินไหวได้อย่างไร ทั้งๆที่ประเทศไทยไม่ได้ตั้งอยู่บนบริเวณขอบของแผ่นเปลือกโลกหรือ Ring of fire ทั้งนี้ทั้งนั้นสาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวในไทยเพราะ เมื่อใดที่แผ่นเปลือกโลกชนกัน จึงทำให้เกิดรอยเลื่อน (Fault) และรอยแตกแยกในหิน ทำให้จึงเกิดแผ่นดินไหวในบริเวณอื่นๆ ออกเป็นวงกว้างรวมถึงในประเทศไทยด้วย ด้วยเหตุผลหลายประการจึงก่อให้เกิดแผ่นดินไหวที่สร้างความเสียหายต่อมนุษย์และสิ่งปลูกสร้าง  และที่น่ากลัวที่สุดของแผนดินไหวคือ มนุษย์เราไม่มีทางรู้และไม่มีทางทราบได้เลย ว่ามันจะเกิดขึ้น เมื่อไหร่ เกิดขึ้นที่ไหน และรุนแรงแค่ไหน มันจึงยากต่อการรับมือเป็นอย่างมาก และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกวันนี้ ก็ยังมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นอยู่ในโลก ทั้งที่รุนแรงจนสร้างความเสียหาย และที่เบาบางในแบบที่เราไม่รู้สึก ซึ่งปัจจุบันวิทยาศาสตร์ก้าวไกล ทำให้เราสามารถคาดคะเนแนวโน้มในการเกิดแผ่นดินไหวได้ว่า จะเกิดบริเวณจุดไหน แต่เราก็ยังไม่สามารถรู้ได้อยู่ดีว่า มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่นั่นเอง จึงทำให้ผู้คนในโลกนี้หวาดกลัวแผ่นดินไหวเป็นอย่างมาก และพยามใช้วิทยาศาสตร์เข้ามาเพื่อประยุกต์ใช้และหาวิธีรับมือกับมันได้  

เมื่อใดที่แผ่นเปลือกโลกชนกัน จึงทำให้เกิดรอยเลื่อน (Fault) และรอยแตกแยกในหิน
รอยแตกแยกในหิน ที่เห็นได้ชัดเจน

ความเชื่อในสมัยโบราณ

ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน มีการเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมามากมายนับครั้งไม่ถ้วน และเนื่องจากสมัยก่อนผู้คนดำรงชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อไม่ใช่หลักวิทยาศาสตร์ จึงทำให้ผู้คนในสมัยโบราณกาลนั้น เชื่อเป็นอย่างยิ่งเลยว่า การเกิดแผ่นดินไหวรวมไปถึงการเกิดภูเขาไฟระเบิดนั้น ล้วนมาจากความต้องการของเทพเจ้า และเป็นฝีมือของเทพเจ้ารวมไปถึงสิ่งเหนือธรรมชาติต่างๆ ที่มีความต้องการสร้างให้มันเกิดขึ้น และแต่ละพื้นที่แต่ละภูมิภาคก็มีความเชื่อแตกต่างกันออกไป โดยวันนี้เราจะมาแบ่งแยกให้ท่านได้ดูถึงความเชื่อของแผ่นดินไหวในแต่ละพื้นที่

เฮฟเฟสตุส (Hephaestus)
เฮฟเฟสตุส (Hephaestus) หรือ วัลแคน เทพแห่งไฟและโลหะการช่าง

ความเชื่อของชาวโรมัน ยังเชื่อกันอีกว่าเค้ามีเทพเจ้าที่อาศัยในภูเขาไฟ โดยเทพองค์นั้นมีชื่อว่า วัลแคน โดยชาวกรีกโรมันยังมีความเชื่ออีกว่า เทพเจ้าวัลแคน ทำหน้าที่เป็นช่างตีเหล็กเพื่อรับใช้แก่เทพเจ้าองค์อื่นๆ ของเขา ชาวกรีกโรมันยังสันนิษฐานกันว่า การที่ภูเขาไฟระเบิดหรือมีกลุ่มควันออกมาจากภูเขาไฟ สาเหตุมาจากเทพเจ้าวัลแคน ทรงประทับและติดอยู่ด้านใน และเมื่อใดที่เทพเจ้าวัลแคนของเขากำลังทำงานตีเหล็กอยู่นั้น เมื่อนั้นจะทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนนั่นเอง ซึ่งที่กล่าวมาคือความเชื่อสมัยโบราณที่ยากจะเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ เพราะเป็นประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกและพูดถึงมาจนทุกวันนี้

เทพเจ้าอีกคนหนึ่งของชาวกรีกโบราณที่เราจะไม่พูดถึงก็ไม่ได้ เพราะชาวกรีกเชื่อว่าเทพเจ้าองค์หนึ่ง ทรงทำให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาบนโลกใบนี้ สาเหตุมาจากเพียงแค่ความโกรธของท่าน จึงทำให้ท่านกระทืบเท้า และเนื่องจากท่านเป็นเทพและมีตัวที่ใหญ่มาก จึงทำให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นมานั่นเอง  โดยเทพเจ้าที่กล่าวมาข้างต้นนี้มีชื่อว่า “โพไซดอน”

โพไซดอน (Poseidon)
โพไซดอน (Poseidon)

มาถึงความเชื่อของชาวฮินดู ซึ่งพวกเขาเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า โลกจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับช้าง เพราะพวกเขาชื่อว่า โลกและแผ่นดินอยู่บนถาด โดยถาดนี้จะอยู่บนหลังช้าง และการเกิดแผ่นดินไหวสั่นสะเทือนเกิดมาจาก การที่ช้างเคลื่อนไหวหรือขยับตัวนั่นเอง

ปลาดุกยักษ์ตัวใหญ่ใต้พื้นดิน
ปลาดุกยักษ์ตัวใหญ่ใต้พื้นดิน

ทางด้านของคนญี่ปุ่นในอดีตนั้น มีความเชื่อกันว่า ในใต้พื้นดินของที่เขาอยู่นั้น จะมีปลาดุกยักษ์ตัวใหญ่อาศัยอยู่ และการเกิดแผ่นดินไหวหรือแผ่นดินสะเทือนนั้น สาเหตุมาจากการขยับตัวของปลาดุกยักษ์ตัวนั้น

คนไทยนั้น อยู่กับความเชื่อความศรัทธามาอย่างยาวนาน และความเชื่อของแผ่นดินไหว คนไทยเชื่อว่า เกี่ยวกับปลาอานนท์ เพราะท่านอาศัยอยู่ใต้พระสุเมรุ เมื่อใดที่แผ่นดินไหว เป็นเพราะปลาอานนท์ขยับตัวนั่นเอง

ปลาอานนท์ใต้เขาพระสุเมรุ
ปลาอานนท์ใต้เขาพระสุเมรุ

ตัวอย่างเหตุการณ์เกิดแผ่นดินไหว ในประวัติศาสตร์

ตั้งแต่อดีตปัจจุบัน มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นมาแล้วมากมายนับครั้งไม่ถ้วน มีทั้งหนักบ้าง เบาบ้าง รุนแรงบ้าง ไม่รุนแรงบ้าง แตกต่างกันไป โดยในวันนี้เราจะมายกตัวอย่างการเกิดแผ่นดินไหวที่รุนแรง และเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่โลกไม่มีวันลืม โดยเรายกมา 5 เหตุการณ์สำคัญดังนี้

แผ่นดินไหวขนาด 7.5 มณฑลถังชาน ประเทศจีน
แผ่นดินไหวขนาด 7.5 มณฑลถังชาน

แผ่นดินไหวขนาด 7.5 มณฑลถังชาน ประเทศจีน

อันดับแรก เราขอเปิดเรื่องด้วยเหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่เรียกได้ว่าเสียหายมาก และมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาก็เป็นได้ โดยได้มีการคาดคะเนว่าในเหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตสูงถึง เกือบ 700,000 คนเลยทีเดียว ซึ่งถือว่าเป็นภัยธรรมชาติที่น่าสะเทือนขวัญเป็นอย่างมาก และโลกไม่มีวันลืม โดยเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นที่มณฑลถังชาน (Tangshan) ในประเทศจีน วันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1976 โดยความรุนแรงของแผ่นดินไหวครั้งนี้มีสูงถึง 7.5 เลยทีเดียว ซึ่งถือว่าสูงมากๆ ทำให้แรงสั่นสะเทือนแผ่ขยายยาวไปจนถึงกรุงปักกิ่ง

แผ่นดินไหวขนาด 8.0 มณฑลส่านซี ประเทศจีน

อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญ ที่เกิดก่อนแผ่นดินไหวที่ถังซาน โดยครั้งนี้เกิดขึ้นในประเทศจีนอีกแล้ว ซึ่งถือเป็นประเทศที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยมากๆ โดยในครั้งนี้เกิดขึ้นในวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 1556 เป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้ว แต่ผู้คนยังจำไม่เคยลืม เพราะเหตุการณ์นี้ ได้พรากชีวิตผู้คนสูงถึง ประมาณ 800,000 คนเลยทีเดียว ซึ่งมียอดจำนวนคนที่สูงมากๆ แผ่นดินไหวครั้งนี้สูงถึง 8.0 ริกเตอร์ และมีรัศมีความเสียหายเป็นวงกว้างกว่า 450 กิโลเมตร หมายความว่าเมืองอื่นบริเวณรอบๆก็ได้รับความเสียหายกันหมด โดยวันนั้นได้เกิดรอยแยกบนแผ่นดิน มีการทรุดตัวและยกตัว และมีน้ำพุ่งขึ้นมาจากรอยแยกด้วย

แผ่นดินไหวขนาด 8.0 มณฑลส่านซี ประเทศจีน
แผ่นดินไหวขนาด 8.0 มณฑลส่านซี
แผ่นดินไหวขนาด 9.1 ประเทศอินโดนีเซีย
แผ่นดินไหวขนาด 9.1 ประเทศอินโดนีเซีย

แผ่นดินไหวขนาด 9.1 ประเทศอินโดนีเซีย

เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นที่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย โดยเกิดขึ้นในวันที่ 26 ธันวาคม 2004 เป็นระยะเวลากว่า 18 ปีมาแล้ว แต่คนอินโดนีเซียยังคงจดจำฝันร้ายนี่อยู่ โดยในครั้งนี้มีแผ่นดินไหวสูงถึง 9.1 โดยมีจุดศูนย์กลางการสั่นสะเทือนบริเวณเกาะสุมาตรา ห่างออกไปเพียง 60 กม. เท่านั้น ทำให้จังหวัดอาเจะห์ เกาะสมุมาตราได้รับความเสียหายเต็มๆ และเหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 10,000 คน ที่ร้ายไปว่านั้น จากการสั่นสะเทือนทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำ จนกลายเป็นสึนามิ เข้ารอบมหาสมุทรอินเดียด้วย ซึ่งรวมผู้เสียชีวิตทั้งหมดจากเหตุการณ์นี้มีประมาณ 200,000 คน

แผ่นดินไหว 7.9 คันโต ประเทศญี่ปุ่น

อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่คนญี่ปุ่นไม่มีวันลืม โดยคนญี่ปุ่นเรียกว่า เหตุการณ์ครั้งใหญ่ในเมืองโตเกียว โดยเกิดขึ้นในวันที่ 1 กันยายน 1923 ในเขตคันโต เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยพลังทำลายล้างสูงถึง 7.9 ทั้งเมือง โตเกียว-โยโกฮาม่าต่างได้รับผลกระทบ ที่แย่ไปว่านั้นคือ ได้มีการเกิดไฟไหม้ตามมาอย่างติดๆหลังจากเกิดแผ่นดินไหว ประชาชนได้รับความเดือดร้อนกว่า 380,000 หลังคาเรือน ซึ่งในครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตกว่า 140,000 คน และหลังจากเหตุการณ์นั้น อ่าวซากามิ มีการยกระดับสูงของพื้นที่เกาะขึ้นถึง 6 ฟุตเลยทีเดียว

แผ่นดินไหว 7.9 คันโต ประเทศญี่ปุ่น
แผ่นดินไหว 7.9 คันโต ประเทศญี่ปุ่น
แผ่นดินไหว ไตซาน ประเทศอิหร่าน
แผ่นดินไหว ไตซาน ประเทศอิหร่าน

แผ่นดินไหว ไตซาน ประเทศอิหร่าน

ในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 856 ย้อนกลับไปเป็นพันๆ ก่อน เนื่องจากวิทยาศาสตร์ยังไม่ก้าวไกล ทำให้ไม่ทราบจำนวนแรงสั่นที่แน่ชัด แต่จากข้อมูลบอกว่า เกิดแผ่นดินไหวที่เมืองไตซาน ประเทศอิหร่าน ห่างจากเมืองหลวงในปัจจุบันนี้ไม่ไกลมาก ประมาณ 300 กม. บ้านเมืองได้รับความเสียหาย และคาดคะเนว่าครั้งนั้น มีผู้ตายกว่า 200,000 คน เลยทีเดียว ถือได้ว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ในยุคนั้นเนื่องจากไม่ค่อยมีภัยธรรมชาติ และผู้คนมีจำนวนไม่มากเท่ากับปัจจุบัน

สาเหตุการเกิดแผ่นดินไหว

แผ่นดินไหว เป็นหนึ่งในภัยที่สามารถก่อให้เกิดความเสียหายบริเวณกว้าง ทำให้เกิดความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สินได้ และทุกวันนี้เรายังไม่สามารถคาดเดาการเกิดแผ่นดินไหวล่วงหน้าได้ แต่เราสามารถศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับสาเหตุการเกิดแผ่นดินไหวได้ เพื่อให้มีความรู้และเข้าใจมันมากขึ้น โดยเราจะจำแนกสาเหตุของแผ่นดินไหวออก 2 สาเหตุ

สาเหตุการเกิดแผ่นดินไหวจากการกระทำของมนุษย์

ในที่นี้ อาทิเช่น การระเบิดและทำเหมืองแร่ การทดลองอาวุธชีวภาพ อาวุธนิวเคลียร์ และอื่นๆอีกมากมายที่มาจากฝีมือมนุษย์บางส่วน แต่กลับสร้างความเสียหายส่วนรวมแก่มนุษย์โลกทุกคนทุกท่าน ซึ่งในข้อนี้ พวกเราทุกคนสามารถช่วยกันหยุดยั้งแผ่นดินไหวไม่ให้มันเกิดขึ้นมาได้ด้วยมือของเราเอง คือช่วยกันอนุรักษ์และไม่ทำร้ายโลกของเรา หยุดการกระทำที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด เพื่อความสุขและความสงบสุข และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาอีก

สาเหตุการเกิดแผ่นดินไหวจากธรรมชาติ

ในข้อนี้แผ่นดินไหวเกิดจากการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก และเราไม่สามารถคาดเดาได้ มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ โดยจำแนกออกได้เป็น 2 ทฤษฎีคือ อันแรกคือ

  1. การขยายตัวของเปลือกโลกนั้น เป็นแผ่นดินไหวที่เกิดจากการโค้งตัวหรือโก่งตัว จึงจะทำให้เกิดการสะสมพลังงาน และเมื่อพลังงานมีเยอะ ก็จะทำให้ระเบิดและปล่อยพลังงานออกมา จนกลายเป็นแผ่นดินไหวและแผ่นเปลือกโลกนั้น สามารถจำแนกออกได้ 7 แผ่นหลัก คือ แผ่นแปซิฟิก , แผ่นอเมริกาเหนือ , แผ่นอเมริกาใต้ , แผ่นแอฟริกา , แผ่นยูเรเซีย , แผ่นอินเดียออสเตรเลีย , แผ่นแอนตาร์คติก โดยประเทศไทยของเราตั้งอยู่บนแผ่นยูเรเซีย
  2. แผ่นดินไหวมีการเคลื่อนตัวของรอยเลื่อน และเมื่อรอยเลื่อนมีการเคลื่อนที่นั่น จึงก่อให้เกิดการสะสมพลังงาน และเมื่อมีมากพอ ก็จะปล่อยพลังงานเหล่านั้นออกมา ทำให้เกิดแผ่นดินไหวตามมา และประเทศไทยไม่ได้อยู่ในรอยต่อของแผ่นเปลือกโลก เพราะฉะนั้นแล้วแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในประเทศไทยทั้งหมด จะเกิดจาก รอยเลื่อนเพียงอย่างเดียว นั่นเอง

 

ขนาดและความรุนแรงของแผ่นดินไหว

ในหัวข้อนี้ เราจะมาจำแนกประเภทประเภทของแผ่นดินไหว ขนาดและความรุนแรง  ออกมาเป็นมาตรา ออกมาเป็นตัวเลขให้เห็นและอธิบายถึงความรุนแรงว่ามีมากน้อยแค่ไหน โดยสามารถจำแนกมาตราออกมาได้เป็น 2 มาตราใหญ่ๆ ดังนี้

มาตราเมอร์คัลลี

ในหน่วยมาตรานี้ ไม่ได้รับความนิยมมากสักเท่าไหร่ หากเทียบกับอีกมาตราหนึ่ง ซึ่งในการเกิดแผ่นดินไหว จะมีแรงสะเทือน ความเสียหาย และความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป อาจจะเบาจนแทบไม่รู้สึก หรืออาจจะหนักเกินไป จนบ้านเรือนถล่ม แผ่นดินแยก และอื่นๆ อีกมาก โดยสำหรับระบบมาตราเมอร์คัลลี สามารถเข้าใจได้ง่ายพอสมควร เพราะเป็นมาตราที่วัดออกมาจากความรู้สึกส่วนตัวของผู้วัด โดยแบ่งได้ ดังนี้

        I     คนจะไม่รู้สึก เครื่องมือเท่านั้นจะวัดได้

        II    ผู้ที่อยู่นิ่งจะรู้สึกได้ สิ่งของต่างๆจะขยับเบาๆ

        III   คนในบ้านรู้สึก เหมือนรถผ่าน

        IV   ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกเหมือนกับว่ารถบรรทุกขับผ่าน

        V    ทุกคนจะสามารถรู้สึกได้แน่นอน ของที่มีขนาดเล็กจะเคลื่อนที่

        VI   ผู้คนเดินจะเซ ของขนาดใหญ่เคลื่อนที่ได้

        VII  ผู้คนจะอยู่กับที่ไม่ได้ อาคารเกิดเสียหายนิดหน่อย

        VIII อาคารจะเกิดความเสียหายระดับกลาง

        IX   อาคารจะเกิดการเสียหายเป็นอย่างมาก

        X    อาคารจะถูกทำลาย  

        XI   แผ่นดินจะแยกถล่ม

        XII  สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดจะพังทลาย

มาตราริกเตอร์

สำหรับมาตราริกเตอร์ เป็นมาตราวัดขนาดความสั่นสะเทือนของแผ่นดินที่ได้มาตรฐาน ถูกคิดค้นโดย ชาร์ล เอฟ ริกเตอร์ โดยหน่วยริกเตอร์ ใช้เครื่องวัดในการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว และเป็นมาตราสากลที่โลกนี้นิยมใช้ให้เข้าใจง่ายๆ โดยสูตรนี้ใช้คณิตศาสตร์ประยุกต์ logarithm มาเข้าช่วย โดยเทียบจากความสูงคลื่น เช่น แผ่นดินไหว 6 ริกเตอร์ มีความแรง 10 เท่าของแผ่นดินไหว 5 ริกเตอร์ และมีความแรงเป็น 100 เท่าของแผ่นดินไหว 4 ริกเตอร์  เป็นต้น

ขนาด เป็นตัวเลขที่จะบอกว่าแผ่นดินไหวนี้ร้ายแรงแค่ไหน หากเปรียบเทียบกับระดับ 0 จะมีค่าความสูงคลื่นอยู่ที่ 0.001 มม. ในระยะ 100 กิโลเมตร จากศูนย์กลาง ความแรงของแผ่นดินไหวสามารถบอกเป็นตัวเลข และสามารถจำแนกประเภทออกมาได้ ดังนี้

ขนาด                                                                ประเภท

<3.0    ริกเตอร์                                                 แผ่นดินไหวประเภทขนาดเล็กมาก (Micro)

3.0 – 3.9   ริกเตอร์                                            แผ่นดินไหวประเภทขนาดเล็ก (Minor)

4.0 – 4.9    ริกเตอร์                                           แผ่นดินไหวประเภทขนาดค่อนข้างเล็ก (Light)

5.0 – 5.9     ริกเตอร์                                          แผ่นดินไหวประเภทขนาดกลาง (Moderate)

6.0 – 6.9   ริกเตอร์                                            แผ่นดินไหวประเภทขนาดค่อนข้างใหญ่ (Strong)

7.0 – 7.9   ริกเตอร์                                            แผ่นดินไหวประเภทขนาดใหญ่ (Major)

>8.0     ริกเตอร์                                                แผ่นดินไหวประเภทใหญ่มาก (Great)

ลางบอกเหตุ ที่อาจเกิดแผ่นดินไหว

เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่า จะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นเมื่อไหร่ ตอนไหน เพราะมันคือภัยธรรมชาติ แต่อย่างน้อย ธรรมชาติก็ได้สร้างบางอย่างขึ้นมาให้เราสามารถเตรียมรับมือก่อนจะเกิดเหตุการณ์แย่ๆ นั่นก็คือ ลางบอกเหตุ ซึ่งข้อมูลนี้เราอ้างอิงจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และเกิดขึ้นก่อนที่จะแผ่นดินไหว เพื่อเป็นความรู้ให้ผู้ที่ต้องการศึกษา ได้นำไปปรับใช้ในกรณีที่จะเกิดเหตุการณ์จริง โดยลางบอกเหตุ สามารถจำแนกออกเป็นข้อ ดังนี้

  • แผ่นดินมีการยกระดับสูงขึ้นกว่าเดิมแบบผิดปกติ นั่นหมายความว่าจะมีแผ่นดินไหวในอีกไม่ช้า
  • หากมีก๊าซเรดอนในบ่อน้ำมากขึ้นสูงกว่าปกติ อาจจะทำให้เกิดแผ่นดินไหว
  • โลกจะมีสนามแม่เหล็กเป็นปกติ แต่เมื่อใดที่ความเข้มของสนามแม่เหล็กเปลี่ยนแปลง หมายถึงสัญญานของแผ่นดินไหว
  • ก่อนจะเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงนั้น จะมีการเกิดเป็นแผ่นดินไหวเล็กๆเพื่อเตือนภัยก่อน เราควรรีบออกจากตรงนั้นทันที
  • หากคุณภาพการนำประจุไฟฟ้าของหินไม่ปกติ นั่นหมายถึงกำลังจะเกิดแผ่นดินไหว

ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นลางบอกเหตุการณ์เกิดแผ่นดินไหว ในหลักของนักธรณีวิทยาและควบคู่ไปกับวิทยาศาสตร์ แต่นอกจากนั้น ยังมีลางบอกเหตุประเภทอื่นๆที่เราสามารถ มองเห็นด้วยตาตัวเองได้ และสามารถรับรู้ได้ มีดังนี้

สัญชาตญาณของสัตว์จะเปลี่ยนไปจากปกติ

สัญชาตญาณของสัตว์จะเปลี่ยนไปจากปกติ

ในข้อนี้เราสามารถสังเกตได้ตาตัวเอง เมื่อใดที่สัตว์มีพฤติกรรมที่ผิดปกติ เช่น วิ่งออกมาจากป่า หรืออยู่กันเป็นฝูงพร้อมอพยพ รวมถึงพฤติกรรมอื่นๆอีกมากมาย สิ่งเหล่านี้คือการปรับตัวและเอาตัวรอดของพวกมันนั่นเอง ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะสัญชาตญาณของพวกมันรับรู้ได้ว่าจะเกิดภัย มันจึงต้องรีบเอาตัวรอด เราสามารถสังเกตุได้จากจุดนี้ โดยพฤติกรรมของสัตว์แต่ละประเภทก็อาจจะแตกต่างกันไป เช่น พฤติกรรมของนกนั้น ก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหว พวกมันจะรับรู้ได้ก่อน หากมีแรงสั่นสะเทือนมากกว่า 3 ริกเตอร์ นกที่อยู่ใน 50 กม. จะรีบบินไปทันที , พฤติกรรมของปลา หากกำลังจะเกิดแผ่นดินไหว ปลาจะว่ายน้ำขึ้นมาเกยตื้น หรือมาอยู่ที่นำตื้นๆ เพื่อเอาตัวรอด , พฤติกรรมของสัตว์ เลื้อยคลายนั้น ส่วนใหญ่แล้วหากจะเกิดแผ่นดินไหว พวกมันจะเลื้อยกันขึ้นมาบนดินทันที , พฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข แมว อื่นๆ เนื่องจากสัตว์พวกนี้อยู่กับคน เราสามารถสังเกตพฤติกรรมสัตว์พวกนี้ได้ โดยก่อนเกิดแผ่นดินไหวนั้น พวกมันจะตกใจและวิ่งกระสับกระส่าย เป็นต้น

การเปลี่ยนแปลงของน้ำบริเวณใต้ดิน

ข้อนี้เราก็สามารถสังเกตได้ง่าย โดยนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหวนั้น น้ำใต้ดินจะเกิดการเปลี่ยนแปลง คือ มันจะขุ่นขึ้น มีฟอง มีรสชาติที่ขมขึ้น น้ำจะหมุน เป็นต้น

เกิดแสงของแผ่นดินไหว

เกิดแสงของแผ่นดินไหว

จากอดีตจนถึงปัจจุบัน มีการบันทึกไว้ว่า ในการเกิดแผ่นดินไหวในหลายๆ พื้นที่นั้น ก่อนที่จะเกิดการอุทกภัยจะมีคนเห็นแสงไฟลึกลับที่วิบวับไปมา ซึ่งมีหลายที่ที่เป็นแบบนี้ เช่น แผ่นดินไหวอีสุ ในวันที่ 26 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2473 , แผ่นดินไหวเซ็นโกจิ  ปี พ.ศ. 2390 เป็นต้น

เกิดเมฆรวมไปถึงกลุ่มควัน

จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ก่อนจะเกิดแผ่นดินไหว เมฆจะก่อตัวกันผิดปกติ คือจะรวมตัวกันหนาผิดปกติ อีกทั้งยังมีกลุ่มควันหนากว่าเดิม แต่บริเวณรอบๆ ที่ไม่มีแผ่นดินไหว อากาศกลับสดใสเป็นปกติ ซึ่งเเปลกมากๆ

วิธีการรับมือ เมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหว

เราไม่สามารถห้ามไม่ให้เกิดอุกทกภัยแผ่นดินไหวได้ แต่เราสามรถรับมือกับมันได้ หากเรารู้จักวิธีรับมือ และแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ก็จะทำให้เราสามารถป้องกันตัวเองได้ไม่มากก็น้อย ซึ่งวิธีการรับมือเมื่อเกิดแผ่นดินไหว มีดังนี้

  1. ข้อแรกนี่สำคัญที่สุดเลยคือต้องมีสติ อย่าตื่นตระหนกและตกใจไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะหากเรามีสติ มันก็จะทำให้เรารู้วิธีและคิดหาทางออกในเวลานั้นได้
  2. หากในตอนเกิดแผ่นดินไหวนั้นท่านอยู่ในอาคาร สิ่งที่ท่านควรทำคือรีบออกมาในที่โล่งแจ้งทันที เพื่อป้องกันอันตรายจากการถล่มของตัวอาคารได้
  3. มองหาสิ่งของจำเป็นในการเอาชีวิตรอบที่อยู่บริเวณรอบตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเราจะสามารถนำไปใช้ในอนาคตและกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินได้
  4. หากท่านอยู่ในอาคารที่หาทางออกยาก และแผ่นดินกำลังไหวอยู่ อีกหนึ่งวิธีที่เราอยากจะแนะนำคือให้ท่านวิ่งเข้าไปหลบบริเวณใต้โต๊ะ หรือตรงบริเวณสิ่งของที่มีความแข็งแรง เพื่อป้องกันเศษอาคารบ้านเรือนที่จะถล่มมาทับเราได้
  5. ลิฟต์ ถือเป็นกรณียกเว้นเด็ดขาด ท่านไม่ควรใช้ลิฟต์ในขณะเกิดแผ่นดินไหว เพราะมันจะทำให้ท่านอันตรายถึงชีวิตได้
  6. หากท่านกำลังอยู่ริมทะเลในขณะเกิดแผ่นดินไหว ให้ท่านสังเกตระดับของน้ำ มันจะมีความผิดปกติ คือน้ำจะแห้ง หลังจากนั้นจะมีสึนามิตามมา เมื่อเห็นแบบนั้นท่านควรจะออกไปให้ไกลจากบริเวณชายหาดให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของท่าน
  7. ปิดสวิทซ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและแก๊ส และไม่ควรใช้วัตถุไวไฟ รวมไปถึงสิ่งที่ทำให้เกิดประกายไฟเป็นอันขาด เพราะมันอาจจะมีแก้สรั่วบริเวณนั้น มันจะเป็นอันตรายต่อท่านได้
  8. เมื่อหนีออกมาจากตรงนั้นได้แล้ว ให้ท่านทำการติดต่อขอความช่วยเหลือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และรีบไปที่ปลอดภัยทันที
  9. ศึกษาทางหนีที่ไล่ให้ดี ก่อนที่จะตัดสินใจวิ่งหนี เพราะหากไปถูกทาง และไปทางที่อันตรายน้อยกว่า ก็มีโอกาสที่จะรอดชีวิตได้สูงกว่า
หาที่หลบที่ปลอดภัย
หาทางออกจากอาคาร
ปิดสวิทส์เครื่องใช้ไฟฟ้าและแก็ส
มีสติอย่าตกใจเกินเหตุ

วิธีการป้องกัน เตรียมไว้ก่อนเกิดแผ่นดินไหว

  1. ควรจะมีการวางแผน และจัดการ ให้ความรู้แก่คนในพื้นที่ ว่าควรจะทำอย่างไรเมื่อเกิดแผ่นดินไหว ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการทำให้ทุกคนรู้วิธีเอาตัวรอดได้ ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์จริง
  2. ทุกบ้าน ควรจะมีกล่องอนามัย กล่องพยาบาล รวมไปถึงกล่องอาหารในการเอาชีวิตรอด ติดบ้านไว้ เพื่อที่จะสามารถนำสิ่งของเหล่านี้ไปได้ทันที ในตอนที่เกิดเหตุ
  3. ควรจะมีหน่วยงานที่จะมา จัดอบรม ศึกษาและให้ความรู้ ประชาชนเกี่ยวกับวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อใช้ในตอนที่เกิดเหตุ ประชาชนจะสามารถช่วยตัวเองเบื้องต้นได้ ก่อนจะนำตัวไปส่งโรงพยาบาล
  4. แพลนการสร้างอาคารบ้านเรือนก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ ควรจะมีการสร้างบ้านเรือนตามแบบและแพลนที่เห็นสมควร และสร้างให้เป็นระบบระเบียบ เพราะตอนที่เกิดเหตุการณ์จะได้เสียหายน้อยที่สุด และอันตรายแก่ประชาชนน้อยที่สุดด้วย
  5. ไม่ควรที่จะวางของหนักๆ ต่างๆไว้ที่สูงเกินไป ควรไว้บนพื้นหรือติดผนัง เพื่อป้องกันการถล่มและร่วงหล่นของสิ่งของเหล่านั้นด้วย
  6. ควรที่จะจัดบ้านของท่านให้มีความปลอดภัย จัดของแยกเป็นสัดส่วน เพราะตอนที่มันถล่มลงมา จะได้เป็นอันตรายน้อยที่สุด
%e0%b9%80%e0เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุภัยพิบัติ%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a1%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%a1%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b9%80%e0%b8%ab